ประเภทเครื่องดีด
เครื่องดนตรีของล้านนาประเภทที่อาศัยการดีดที่สายเพื่อให้เกิดเสียง
มีสองอย่าง คือ
1. เพียะ (อ่าน “ เปี๊ยะ ” ) และ ซึง ในโคลงนิราศหริภุญชัย
เรียกซึงว่าติ่งเช่นเดียวกับที่ชาวไทใหญ่เรียก
เพียะ เป็นเครื่องดีดจำพวกพิณ
จัดเป็นเครื่องดนตรีที่เก่าแก่ชนิดหนึ่งของล้านนาและปรากฎการกล่าวถึงใน
กาพย์ห่อโคลง ของพระศรีมโหสถในสมัยอยุธยาด้วย
มีลักษณะคล้ายพิณน้ำเต้าของภาคอีสาน
มีผู้เชี่ยวชาญทางดนตรีสันนิษฐานว่าอาจจะได้รับอิทธิพลมาจากพิณสายเดี่ยวของ
อินเดีย เพียะมีกะโหลกซึ่งทำหน้าที่เป็นกล่องเสียง
ทำด้วยกะลามะพร้าวผ่าซีกด้านข้างเจาะรูหนึ่งรู
คันทวนทำด้วยไม้เนื้อแข็งยาวประมาณ ๗๐-๙๐ เซนติเมตร
ปลายคันทวนมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๑.๐-๑.๕ เซนติเมตร
ปลายยอดเป็นรูปโลหะหล่อ ด้านโคนคันทวนมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๒-๓
เซนติเมตร มีลูกบิดเสียบอยู่ มีสายไหมหรือเส้นลวดจำนวน ๒-๗ สาย
ขึงพาดระหว่างลูกบิดกับหัวเพียะ ขนาดของสายจะเท่ากันทุกสาย
ใช้หวายรัดสายเพียะแนบติดกับด้ามเสียก่อนแล้วสอดปลายลอดรูกะโหลกไปผูกกันไว้
ขัดด้วยแท่งไม้เล็กๆ ระหว่างด้ามกับกะโหลกมีท่อนไม้เล็กๆ ยาวประมาณ ๔-๕
เซนติเมตร คั่นอยู่อันหนึ่ง
เพื่อแยกด้ามกับกะโหลกให้ห่างกันพอที่จะสอดนิ้วมือเข้าไปจับประคองเพียะใน
ขณะบรรเลง
ผู้บรรเลงมักจะถอดเสื้อและอยู่ในลักษณะท่านั่ง
หันกะโหลกเพียะครอบตรงผิวเนื้อกลางหน้าอก
โดยให้คันเพียะทำมุมกับลำตัวประมาณ ๔๕ องศา
ใช้มือซ้ายช้อนรับคันเพียะไว้ในอุ้งมือ ใช้เล็บของนิ้วก้อยดีด
มือขวาจะต้องรองรับคันเพียะไว้ด้วยท่อนแขน ใช้เล็บนิ้วก้อย
เล็บนิ้วกลางและเล็บนิ้วนางดีดให้เกิดเสียงขัดเสียงสอดแทรก
ซึ่งการดีดให้เกิดเสียงจะต้องดีดด้วยวิธีเฉพาะที่เรียกว่า “ พาน ” “ ป๊อก ”
และ “ จก ”
ส่วนการเลื่อนมือย้ายตำแหน่งให้ได้เสียงตามต้องการเช่นนี้มีศัพท์เฉพาะว่า “
การไหล ” ในขณะเดียวกันก็ใช้ส้นมือ (ส่วนปลายสุดของฝ่ามือ) ข้างขวาไข
(ขยับ) ไปมา หรือขยับขึ้นลง
เพื่อให้เกิดเสียงและลมที่อัดแน่นอยู่ระหว่างทรวงอกกับกะโหลกเพียระระบายออก
มา
เสียงที่เกิดขึ้นจะเป็นเสียงที่กังวานแผ่วเบา อันเป็นเสียงแบบ Over
tones หรือ Harmonic (เสียงคู่แปด) ซึ่งเป็นเสียงที่ตรงตามความตั้งใจยาก
เสียงนี้จะมีความไพเราะมากเท่าใดนั้นขึ้นอยู่กับความชำนาญของผู้บรรเลง
เสียงเพียะที่ดีเสมือน เดงพลันเมา (อ่าน “ เดงปันเมา ” )
คือกระดิ่งที่เร่งให้หลงใหล หมายถึงเสียงของเพียะไพเราะจับใจยิ่งนัก
การเล่นเพียะเท่าที่พบนั้นส่วนมากเป็นการเล่นเดี่ยว ไม่ค่อยเล่นประสมวง
และไม่นิยมมีการขับร้องประกอบ เนื่องจากเสียงของเพียะไม่ค่อยดังนัก
อาจมีการช้อยโคลง (อ่าน “ จ๊อยกะโลง ” ) ประกอบคือขับโคลงเป็นทำนองเสนาะ
ส่วนเพลงที่เล่นนั้นสามารถเล่นได้ทุกเพลงเท่าที่เครื่องดนตรีอื่นๆ
ในระดับชาวบ้านจะเล่นได้ เช่น เพลง จก ไหล ปุ๋มเป้ง เก้าปุ๋มป่ง ปราสาทไหว
ปราสาทกุด เงี้ยว พม่า อื่อ ฯลฯ
2. ซึง บางท้องถิ่นเรียกว่า ติ่ง
มีลักษณะคล้ายกระจับปี่หรือคล้ายพิณหรือซุงของภาคอีสาน
หรือคล้ายกีตาร์ขนาดเล็ก ซึงประกอบด้วยกล่องเสียง
มีคอยื่นออกไปและขึงสายซึ่งเป็นต้นกำเนิดเสียง
จากปลายคอผ่านกลางกล่องเสียงไปยังขอบของกล่องเสียงอีกด้านหนึ่ง
อาจใช้ไม้ทั้งท่อนทำซึงทั้งกล่องเสียงและคอโดยเป็นไม้ชิ้นเดียวกัน
หรือคนละชิ้นทำแยกส่วนก็ได้
ตัวซึงมักจะใช้ไม้เนื้ออ่อนหรือไม้สักทำทั้งแผ่นเพราะขุดเนื้อไม้ทำเป็น
กล่องเสียงได้ง่าย
ความหนาของกล่องเสียงขึ้นอยู่กับชนิดของไม้ที่จะใช้ทำและขนาดของซึงที่ต้อง
การ เท่าที่พบโดยทั่วไปหนาประมาณ ๒-๓ นิ้ว คว้านข้างในให้กลวงเป็นรูปวงรี
เหลือขอบโดยรอบกับพื้นกล่องเสียงซึ่งไม่หนามากนัก
จากนั้นก็ใช้แผ่นไม้บางๆ ปิดด้านบน
เจาะรูบริเวณใกล้ศูนย์กลางค่อนไปทางคอเล็กน้อย
ให้มีขนาดกว้างพอสมควรเพื่อให้เสียงผ่านออกมา
ส่วนคอจะมีลักษณะเป็นคันยาวยื่นออกมา
ถ้าไม่ได้ใช้ไม้ชิ้นเดียวกันกับที่ทำตัวกล่องเสียงแล้ว
ส่วนนี้จะนิยมทำด้วยไม้เนื้อแข็ง เพื่อให้ทนทานและเสียงที่ดังออกมาไพเราะ
บนคอซึงติดขีดซึ่งเป็นท่อนไม้เล็กๆ เรียกว่า “ ลูกซึง ” หรือ “ นม ”
เป็นระยะๆ เรียงกันตามความยาวของคอจนใกล้ถึงตัวกล่องเสียง
จำนวนลูกวึงไม่แน่นอนแต่มาตรฐานทั่วไปนิยมติด ๙ อัน
มีความถี่ห่างไม่เท่ากัน (คือเว้นระยะตามขอบเขตของเสียงที่เกิดขึ้น)
ปลายคอซึงมีลูกบิดเกือบล่างสุดของตัวกล่องเสียงมี ค็อบ (อ่าน “ ก๊อบ ” )
คือ เบาะไม้รองสายที่ขึงจากส่วนล่างสุดขึ้นไปหาลูกบิด
สาย ซึงโดยมากทำด้วยสายห้ามล้อจักรยาน มี ๔ สาย ซึ่งแยกกันเป็น ๒ คู่
การดีดซึงมักใช้เขาสัตว์หรือพลาสติกตัดเป็นชิ้นยาวและบางเป็นเครื่องดีด
บริเวณที่ดีดอยู่ใกล้กับรูที่เจาะไว้ มืออีกข้างหนึ่งจับคอซึง
และใช้นิ้วกดสายลงให้แนบกับลูกซึงที่ต้องการ
ซึง มี ๓ ขนาด คือซึงเล็ก ซึงกลางและซึงใหญ่
โอกาสเล่นซึงคือใช้บรรเลงร่วมกับวงสะล้อ ใช้บรรเลงร่วมกับปี่ชุมในการขับซอ
หรือบรรเลงเดี่ยว
เพลงที่เล่นเป็นเพลงพื้นเมืองดั้งเดิมหรือถูกประยุกต์ให้เล่นเพลงลูกทุ่ง
นอกจากนี้ยังการนำไปใช้บรรเลงประกอบการแสดงละครพื้นเมืองอีกด้วย
ซึงนับเป็นเครื่องดนตรีที่นักดนตรีเกือบทุกคนสามารถทำขึ้นไว้เล่นเองได้
และเป็นเครื่องดนตรีที่มีขายอย่างแพร่หลายแหล่งที่ทำซึงขายนั้นนอกจากจะเป็น
กลุ่มนักดนตรีที่เล่นเป็นอาชีพจะรับทำเมื่อมีคนมาสั่งแล้ว
ยังมีวางขายที่ตลาดกลางคืน ถนนช้างคลาน และที่บ่อสร้าง อำเภอสันกำแพง
จังหวัดเชียงใหม่ เป็นต้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น